เปรียบเทียบ RPA กับ Agentic AI: ความแตกต่างที่สำคัญ
Sarah Chen
29 มกราคม 2568
เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง RPA และ Agentic AI พร้อมตัวอย่างการใช้งานและการทำงานร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
บทนำ
สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะมาพูดคุยกับทุกคนเกี่ยวกับสองเทคโนโลยีที่หลายๆ องค์กรกำลังให้ความสนใจ นั่นคือ RPA กับ Agentic AI ครับ ผมเองทำงานกับทีมพัฒนาระบบอัตโนมัติมาหลายปี และเห็นว่ามีความสับสนอยู่พอสมควรว่าสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เลยอยากจะมาอธิบายให้ชัดเจนครับ
RPA คืออะไร?
เริ่มจาก RPA ก่อนนะครับ RPA ย่อมาจาก Robotic Process Automation หรือพูดง่ายๆ คือ "หุ่นยนต์ซอฟต์แวร์" ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานแทนเราครับ
ลองนึกภาพว่าคุณมีเพื่อนที่คอยช่วยทำงานซ้ำๆ ให้ เช่น คัดลอกข้อมูลจาก Excel ไปใส่ในระบบ ERP ทุกเช้า หรือดาวน์โหลดรายงานจากเว็บไซต์แล้วส่งอีเมลให้หัวหน้า RPA ก็ทำงานประมาณนี้ครับ
จุดเด่นของ RPA ที่ผมชอบ:
- ทำตามสคริปต์: เหมือนนักแสดงที่ท่องบทมาแล้ว ทำตามบทไม่มีผิด
- ชอบข้อมูลที่เป็นระเบียบ: ถ้าข้อมูลเรียบร้อย RPA ทำงานได้ไวมาก
- เก่งงานซ้ำๆ: ยิ่งงานซ้ำมากเท่าไหร่ ยิ่งคุ้มค่าเท่านั้น
- ไม่มีการเรียนรู้: ทำแบบเดิมทุกครั้ง ซึ่งบางทีก็เป็นข้อดีนะครับ เพราะผลลัพธ์คาดเดาได้
Agentic AI คืออะไร?
ทีนี้มาถึง Agentic AI บ้าง ตัวนี้น่าสนใจมากครับ คิดง่ายๆ ว่าเป็น AI ที่มี "สมอง" ที่สามารถคิดและตัดสินใจเองได้
ผมชอบเปรียบเทียบว่า ถ้า RPA เป็นพนักงานที่ทำตามคู่มือ Agentic AI ก็เหมือนผู้จัดการที่เราบอกแค่ว่า "เดือนนี้ยอดขายต้องโต 20%" แล้วเขาจะไปคิดเองว่าจะทำยังไง อาจจะวิเคราะห์ข้อมูล หาโอกาสใหม่ๆ หรือปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
สิ่งที่ทำให้ Agentic AI พิเศษ:
- มุ่งเน้นเป้าหมาย: ไม่ติดกับวิธีการ ขอแค่ได้ผลลัพธ์
- ปรับตัวได้: เจอปัญหาใหม่ก็หาทางแก้ใหม่ได้
- เข้าใจบริบท: รู้ว่าตอนนี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
- แก้ปัญหาซับซ้อน: จัดการงานที่ไม่มีสูตรตายตัวได้
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง
มิติการเปรียบเทียบ | RPA | Agentic AI |
---|---|---|
การทำงาน | ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ (Rule-based) | ตัดสินใจและวางแผนเองได้ (Goal-based) |
ความยืดหยุ่น | ต่ำ - ทำได้เฉพาะที่โปรแกรมไว้ | สูง - ปรับตัวตามสถานการณ์ |
การเรียนรู้ | ไม่มีการเรียนรู้ | เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ |
ประเภทงาน | งานซ้ำๆ ที่มีรูปแบบชัดเจน | งานซับซ้อนที่ต้องการการตัดสินใจ |
การจัดการข้อผิดพลาด | หยุดทำงานเมื่อเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด | สามารถแก้ไขและหาทางเลือกใหม่ |
ต้นทุนการพัฒนา | ต่ำ-กลาง | สูง |
ความซับซ้อนในการใช้งาน | ง่าย - ใช้ Low-code/No-code ได้ | ซับซ้อน - ต้องการความเชี่ยวชาญ AI |
ตัวอย่างการใช้งานจริง
เมื่อไหร่ควรใช้ RPA:
จากประสบการณ์ของผม RPA เหมาะมากกับงานแบบนี้ครับ:
- งานกรอกข้อมูล: เช่น ทุกเช้าต้องคัดลอกยอดขายจาก Excel ไปใส่ระบบ ERP ผมเคยทำให้ลูกค้าที่ใช้เวลา 2 ชั่วโมงทุกวัน เหลือแค่ 5 นาที
- ทำรายงาน: ดึงข้อมูลจาก 5-6 ระบบมารวมกันเป็นรายงานเดียว แทนที่จะนั่งทำทั้งวัน
- จัดการใบแจ้งหนี้: อ่าน PDF แล้วกรอกเข้าระบบบัญชี ลดความผิดพลาดจากการพิมพ์ผิด
- เช็คข้อมูล: ตรวจสอบว่าข้อมูลในระบบ A ตรงกับระบบ B หรือไม่
ส่วน Agentic AI ผมแนะนำให้ใช้กับ:
- แชทบอทอัจฉริยะ: ที่ตอบคำถามลูกค้าได้เหมือนคนจริง แถมยังจำบทสนทนาเก่าได้ด้วย
- วิเคราะห์การลงทุน: ดูแนวโน้มตลาด ข่าวสาร แล้วแนะนำว่าควรซื้อขายอะไร
- วางแผนการผลิต: ดูว่าวัตถุดิบเหลือเท่าไหร่ ออเดอร์เข้ามาเท่าไหร่ แล้วจัดตารางผลิตให้เอง
- ช่วยหมอวินิจฉัย: วิเคราะห์อาการ ประวัติคนไข้ แล้วแนะนำแนวทางการรักษา (แต่หมอต้องตัดสินใจเองนะครับ)
การทำงานร่วมกัน: RPA + Agentic AI
จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมอยากบอกคือ ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ ทั้งสองตัวทำงานร่วมกันได้ดีมาก!
ผมมองว่า:
- Agentic AI เป็นเหมือนหัวหน้าทีม: คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ
- RPA เป็นเหมือนลูกทีม: ทำงานตามที่หัวหน้าสั่ง
ตัวอย่างจากงานจริงที่ผมเคยทำ:
ระบบจัดการออเดอร์อัจฉริยะ:
- Agentic AI ดูว่าออเดอร์นี้ด่วนไหม ลูกค้า VIP หรือเปล่า สินค้ามีพอไหม
- พอตัดสินใจแล้ว ก็ให้ RPA ไปกรอกข้อมูลในระบบ ส่งอีเมลแจ้งลูกค้า และอัพเดทสต็อก
ระบบเช็คเอกสาร:
- Agentic AI อ่านเอกสารแล้วบอกว่า "นี่ใบกำกับภาษี ของบริษัท ABC จำนวนเงิน 50,000 บาท"
- RPA รับคำสั่งไปเก็บไฟล์ในโฟลเดอร์ที่ถูกต้อง และบันทึกข้อมูลลงระบบบัญชี
แล้วควรเลือกใช้อันไหนดี?
คำถามที่ผมได้ยินบ่อยมากครับ คำตอบของผมคือ "ขึ้นอยู่กับงานของคุณ"
ถ้างานของคุณเป็นแบบนี้ ใช้ RPA:
- มีขั้นตอนชัดเจน ทำแบบเดิมทุกวัน
- อยากเห็นผลเร็ว (ปกติ 2-4 สัปดาห์ก็ใช้งานได้แล้ว)
- งบไม่เยอะ (เริ่มต้นแสนกว่าบาทก็ทำได้)
- ทีมไม่ต้องเก่ง AI ก็ใช้ได้
แต่ถ้างานเป็นแบบนี้ ควรดู Agentic AI:
- ต้องตัดสินใจเยอะ มีเงื่อนไขซับซ้อน
- สถานการณ์เปลี่ยนบ่อย ต้องปรับตัวตลอด
- มีข้อมูลเยอะให้ AI เรียนรู้
- พร้อมลงทุนและรอผลระยะยาว
คิดทิ้งท้าย
หลังจากทำงานในวงการนี้มาหลายปี ผมคิดว่าอนาคตไม่ใช่การเลือกระหว่าง RPA กับ Agentic AI แต่เป็นการใช้ทั้งสองอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ลองคิดดูครับ ถ้าเรามี AI ที่ฉลาดเป็นหัวหน้า และมี RPA ที่ขยันเป็นลูกน้อง งานจะราบรื่นขนาดไหน นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นในหลายองค์กรแล้ว
สุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกใช้เทคโนโลยีไหน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจปัญหาของเราก่อน แล้วค่อยเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม อย่าหลงใหลเทคโนโลยีจนลืมเป้าหมายที่แท้จริงนะครับ
มีคำถามอะไรเกี่ยวกับ RPA หรือ Agentic AI สามารถทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันครับ!
ต้องการโซลูชันดิจิทัลสำหรับธุรกิจของคุณ?
ติดต่อเราวันนี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายดิจิทัล